วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ช่วยลูกเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ให้ปังกว่าเดิม จริงๆ แล้วต้องยอมรับก่อนเลยว่าสมัยนี้มันเลือกยากมาก อะไรๆ ก็ดิจิทัลไปหมด ทั้งครู ทั้งแพลตฟอร์มโฆษณารัวๆ จนมึน ตอนแรกเราเองก็งงไปเหมือนกันว่าตกลงต้องเริ่มตรงไหนดี
ปวดหัวกับลูกชายตัวแสบในช่วงล็อกดาวน์
ปรากฏว่าเจ้าหนูอยู่บ้านช่วงโควิดเล่นแต่มือถือทั้งวัน ไม่ทำการบ้าน บ่นว่าอยากเรียนภาษาอังกฤษแต่เบื่อหนังสือแบบเดิม เราเลยนั่งแอบดูเขากดๆ อยู่ในห้อง ฮ้า! ปรากฏว่าเปิด Youtube ดูการ์ตูนภาษาอังกฤษเพียวๆ เลย ลูกชายทำหน้าเครียดมาก เอ๋อตอนฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็ยังดันดูต่อ! นี่แหละตัวทำให้เราคิดว่า “เออ… ถ้าเอาความสนใจของลูกมาปรับให้เขาอยากเรียนเองล่ะ?”
เปิดสมองค้นข้อมูลละลานตา
ลงมือแรกเลย คือ นั่งถึกค้นข้อมูลทั้งวันทั้งคืน ในเน็ตมันมีให้เลือกเป็นร้อยแพลตฟอร์ม ทั้งฟรีและเสียตังค์ ที่น่ากลัวคือโฆษณาสวยหรูทุกเว็บบอกว่า “เรียนง่าย เห็นผลเร็ว” แต่เราเองไม่เชื่อง่ายๆ แล้วนะ เพราะโดนหลอกมาหลายที! เลยต้องเริ่มจาก:

- ตะบี้ตะบันอ่านรีวิวผู้ใช้จริง โดยเฉพาะรีวิวที่เป็นพ่อแม่
- จดข้อมูลเปรียบเทียบราคา พร้อมดูว่าได้อะไรบ้าง บางคอร์สแพงมากแต่สิ่งที่ได้แค่คลิปสอนทั่วไป
- ทดลองเรียนฟรีทุกที่ที่ให้ทดลอง เอาให้ลูกชายลองทำด้วยเลยว่าถูกใจรึเปล่า
โดนหลอกเข้าไปแล้วไง!
เคยใจดีเสียตังค์สมัครคอร์สแรกให้ลูกเพราะฟังเว็บเขาเล่าว่าดีสุดๆ มา 3 เดือน จ่ายไปตั้ง 5,000 บาท รายเดือน ผลที่ได้คือ? ลูกชายเบื่อมาก! โปรแกรมการเรียนมันเหมือนกันทุกวัน ไม่มีอะไรใหม่ แถมครูเอาแต่พูด PPT ไม่มีกิจกรรมให้ทำหรือโต้ตอบ พอขอเงินคืน เงียบกริบ! เลยรู้สึกว่าโดนจ้างมากลั่นแกล้งชัดๆ
เปลี่ยนเกม หันไปถามตัวลูกเองเลย!
เจ๊งไปครั้งนึงก็เลยไม่เชื่อโฆษณาแล้ว เรายกตารางเปรียบเทียบคอร์สที่คัดมาแล้วสัก 5 คอร์สมาวางหน้าลูก พร้อมบอกว่า “เลือกเอาอันที่หนูชอบเลยนะ” ลูกชายตาลุกวาว เปิดดูคลิปตัวอย่างในโทรศัพท์ เขาชี้คอร์สที่ครูสลับกิจกรรมบ่อยๆ มีเกมให้เล่นบ้าง มีรูปการ์ตูนน่ารักๆ แถมครูทำท่าเว่อร์ๆ ตลกด้วย เห็นแล้วยิ้มชอบใจทันที บอกแม่เดี๋ยวนี้เลือกเอาอันนี้! เราถามต่อว่า “เพราะอะไร?” ลูกตอบสั้นๆ “ครูไม่น่าเบื่อ ไม่กลัว”
3 ข้อที่เราใช้แกะรอยคอร์สดีๆ ตอนนี้
พลาดท่าแล้วก็ได้บทเรียน เซตหลักไว้เลยเวลาจะเลือกคอร์สให้ลูกครั้งต่อไป:
- ไม่เชื่อโฆษณาโวยวาย: ส่องรีวิวซ่อนทุกซอกมุมเน็ต
- ทดลองเรียนทุกที่: ไม่ทดลอง ไม่จ่าย! ลูกต้องชอบถึงค่อยเอา
- ดูการมีส่วนร่วม: ลูกได้พูด ได้เล่น ได้ทำงานอะไรกับครูหรือเปล่า? ถ้าเป็นแค่นั่งฟังเฉยๆ เป็นอันตก
ช่วงสองเดือนมานี้ที่ลูกได้เรียนแบบที่เขาเลือกเอง ผลคือเห็นชัดว่าลูกไม่หนีหน้าเวลาเรียนภาษา แถมบางทีชมครูซะยิ่งกว่าเราเอง! พอเขามีกำลังใจ ภาษาอังกฤษเริ่มกระเตาะมาให้เห็นบ้างเล็กๆ น้อยๆ ลูกพูดมาประโยควันหนึ่งว่า “Mom, I love you.” ฟังแล้วน้ำตาร่วงเลย… ถึงจะใช้เวลาค้นหาและก็เคยเสียตังค์ไปบ้าง แต่สุดท้ายมันก็คุ้มค่า
สรุปสั้นๆ: บางทีวิธีหาไม่ต้องคิดเยอะ แค่หันไปฟังเสียงคนใช้จริง โดยเฉพาะเสียงเจ้าตัวเล็กนั่นแหละ ช่วยเซฟตังค์ไม่ต้องโดนหลอก และเจอคอร์สที่ใช่สุดๆ!
