เริ่มจากเล่าครั้งที่แล้วให้ฟังก่อน ตอนนั้นเป็นพนักงานประจำอยู่บริษัทเมืองไทยมา 3 ปี แต่พูดอังกฤษได้แค่ “Hello” อะไรแบบนี้ ทีมงานต่างชาติมาประชุมทีไรทุกคนหลบตา ไปเที่ยวต่างประเทศแค่ยกมือไหว้ตลอดทั้งทริป
ตัดสินใจลงเรียน
เห็นเงินเก็บยังพอมีอยู่ เลยตบโต๊ะบอกกับเมียว่า “เดี๋ยวไปเรียนนอกให้รู้เรื่อง!” หลังเลิกงานก็เปิดกูเกลหาคอร์สสอนภาษาในเมืองนอกตี 1 ตี 2 อยู่เดือนนึง เปรียบเทียบราคา ประเทศ สถาบันเรียน จนปวดหัวไปหมด
ขั้นตอนสมัคร
- กรอกใบสมัคร: ยาวเป็นบ้า ให้ข้อมูลตั้งแต่ม.ต้นยันงานปัจจุบัน ยังโดนถามว่าทำไมอยากเรียนอีก
- ขอวีซ่า: ยื่นเอกสารครบยังโดนเรียกสัมภาษณ์ คำถามประมาณ “จะกลับไทยมั้ย” ถามจนคิดในใจว่าเอ็งอยากได้คำตอบอะไรล่ะเนี่ย
- จองตั๋วเครื่องบิน: เดือนเดียวราคาขึ้นลงสองรอบ ตอนกดจ่ายน้ำตาแทบไหล
ตื่นเต้นวันแรก
นั่งรถไปโรงเรียนมือเปียกเหงื่อ ใจเต้นแรงมาก บอกให้ตัวเองว่า “อย่าพูดผิดนะเว้ย” พอครูให้แนะนำตัวเพื่อนฝรั่งหัวเราะลั่นห้อง ตอนแรกนึกว่าพูดผิด ปรากฎเขาหัวเราะเพราะท่อนจบว่า “I come from Thailand where people kick each other” (มั่วเทควันโดกับมวยไทยไปแล้ว)

ชีวิตในห้องเรียน
- อาทิตย์แรก: เงียบเหมือนนกติดหล่ม เห็นเพื่อนชาติอื่นพล่ามเก่งอยากอัดพจนานุกรมใส่สมอง
- อาทิตย์สาม: เริ่มเข้าใจสำเนียงครูออสเตรเลียที่พูดเร็วเหมือนแข่งแรพ
- หลังหนึ่งเดือน: ชวนเพื่อนเวียดนามกับไต้หวันกินข้าวเที่ยงได้โดยไม่นั่งนิ่งๆจนหมดเวลา
ผลลัพธ์ที่ได้มา
กลับมาบริษัทเก่าเดือนแรก แกะคุมานานเจอปัญหาคลาสลูกค้า ทีมงานรุมจ้องหน้า เปิดปากพูดได้แค่ “Let me clarify…” ปรากฎลูกค้าตะโกนว่า “Finally someone understand me!” หลังคุยเสร็จหัวหน้ายกมือตบไหล่ให้สามทีทั้งน้ำตาแตก พอเดือนหลังก็ขอลาออกไปทำฟรีแลนซ์รับงานต่างชาติได้เพิ่มอีก 25%
สรุปแล้วความกลัวนี่แหละที่มันแย่กว่าความผิดพลาด ตอนบินกลับนั่งคิดในหัวว่า เวลาขึ้นเครื่องไม่รู้จะเดินไปไหนก็ยังยอมถามพนักงานเลย แล้วทำไมในชีวิตจริงถึงกลัวถาม?