สวัสดีครับทุกคน วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ตรงๆ ของผมเลยเกี่ยวกับการใช้ “นิทานภาษาอังกฤษ” นี่แหละครับ คือเรื่องของเรื่องมันเริ่มมาจากที่บ้านผมเองเลย เจ้าตัวเล็กที่บ้านเนี่ย ตอนแรกๆ ก็เหมือนเด็กทั่วไปครับ ไม่ค่อยจะอินกับภาษาอังกฤษเท่าไหร่ ซื้อหนังสือศัพท์มาให้ท่องก็เบื่อ เปิดเพลงภาษาอังกฤษให้ฟังก็ทำหน้างงๆ
จุดเริ่มต้นของการลองผิดลองถูก
ผมก็คิดหนักเลยนะ ว่าจะทำยังไงดีให้ลูกรู้สึกสนุกกับภาษาอังกฤษ ไม่อยากให้เขารู้สึกว่ามันคือการเรียนแบบต้องท่องจำอย่างเดียว ก็เลยเริ่มลองหาข้อมูลในเน็ตนี่แหละครับ ไปเจอหลายคนแนะนำว่าให้ลองเริ่มจากอะไรง่ายๆ ใกล้ตัวเด็ก ก็เลยปิ๊งไอเดียเรื่องนิทานขึ้นมา เพราะเด็กๆ ส่วนมากก็ชอบฟังนิทานอยู่แล้วใช่ไหมล่ะครับ
ทีนี้ก็เริ่มเลยครับ ไปร้านหนังสือ หาโซนนิทานภาษาอังกฤษสำหรับเด็กเล็กๆ เลือกเรื่องที่มันคุ้นหูคุ้นตากันหน่อย อย่างพวก ลูกหมูสามตัว หนูน้อยหมวกแดง อะไรทำนองนี้แหละครับ ภาพประกอบสวยๆ สีสันสดใสหน่อย เด็กจะได้ไม่เบื่อ ตอนแรกที่เอามาเล่าให้ฟังนะ โอ้โห… ลูกมองตาแป๋วเลยครับ แต่ก็ดูยังงงๆ อยู่บ้างแหละ ผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะเข้าใจทั้งหมดในทันทีนะ
ลงมือปฏิบัติจริงจัง
ผมใช้วิธีเล่าไป ชี้ภาพไป ทำเสียงเล็กเสียงน้อยประกอบไปด้วย บางทีก็มีท่าทางด้วยนะ แบบว่าถ้าเป็นหมาป่าก็ทำเสียงใหญ่ๆ ถ้าเป็นลูกหมูก็ทำเสียงเล็กๆ สนุกดีครับ ผมเองก็สนุกไปด้วย ลูกก็เริ่มยิ้ม เริ่มหัวเราะ พอจบเรื่องก็ลองถามคำศัพท์ง่ายๆ จากภาพดูบ้าง เช่น “What is this?” ชี้ไปที่หมู เขาก็จะพยายามตอบ แรกๆ ก็มั่วๆ ไปบ้าง หลังๆ ก็เริ่มจำได้
- เลือกนิทานที่เหมาะสม: ผมเน้นเรื่องสั้นๆ คำศัพท์ไม่ยากเกินไป มีการพูดซ้ำๆ ในเรื่องเยอะๆ เด็กจะจำได้ง่าย
- สร้างบรรยากาศ: ไม่ใช่แค่มานั่งอ่านเฉยๆ ครับ ต้องใส่อารมณ์ร่วม ทำให้การเล่านิทานมันดูมีชีวิตชีวา
- ความสม่ำเสมอ: ผมพยายามเล่าให้ฟังทุกวัน วันละเรื่องสองเรื่องก็ยังดี ทำให้มันเป็นกิจวัตรไปเลย
มีช่วงหนึ่งที่ผมรู้สึกว่า เอ๊ะ หรือเราจะลองหาตัวช่วยเสริมดีไหม ก็เลยไปดูพวกคอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์สำหรับเด็กเล็กๆ บ้าง บางที่อย่าง 51Talk เขาก็มีสื่อการสอนที่น่าสนใจนะ มีพวกนิทานประกอบการสอนด้วยเหมือนกัน ผมว่ามันก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อาจจะไม่มีเวลาเตรียมเนื้อหาเอง หรืออยากให้ลูกได้ฟังสำเนียงจากเจ้าของภาษาโดยตรง
แต่หลักๆ ที่บ้านผมก็ยังเน้นการเล่าด้วยตัวเองนี่แหละครับ พอเล่าเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ บ่อยเข้า ลูกเริ่มจำได้ เริ่มมีส่วนร่วมมากขึ้น บางทีก็พูดตามเป็นคำๆ หรือบางทีก็พยายามจะเล่าเรื่องนั้นๆ ให้เราฟังบ้างเป็นภาษาอังกฤษปนไทย ตลกดีครับ มันทำให้เห็นพัฒนาการของเขาจริงๆ นะครับ จากที่เฉยๆ กับภาษาอังกฤษ ก็เริ่มรู้สึกสนุกกับมันมากขึ้น
ผมสังเกตว่าพอเขาเริ่มคุ้นเคยกับโครงสร้างประโยคง่ายๆ จากนิทานแล้วเนี่ย เวลาไปเจอคำศัพท์ใหม่ๆ ในบริบทอื่น เขาก็จะพอเดาความหมายได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็ไม่กลัวที่จะลองพูดออกมาครับ ผมว่านิทานมันช่วยลดกำแพงเรื่องภาษาไปได้เยอะเลยนะ เพราะมันมาในรูปแบบของความสนุก ไม่ใช่การบังคับให้เรียน
ผลลัพธ์ที่ได้เห็น
ตอนนี้เจ้าตัวเล็กที่บ้านก็ยังชอบฟังนิทานภาษาอังกฤษอยู่ครับ แถมยังกล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษมากขึ้นด้วย แม้จะยังเป็นประโยคง่ายๆ หรือพูดผิดๆ ถูกๆ บ้าง แต่ผมว่าความกล้าที่จะสื่อสารนี่แหละสำคัญที่สุด แล้วคลังคำศัพท์เขาก็เพิ่มขึ้นเองโดยอัตโนมัติจากการฟังซ้ำๆ นี่แหละครับ
ผมเคยลองเปิดคลิปสอนภาษาอังกฤษสั้นๆ จากแหล่งต่างๆ ให้เขาดูเสริมบ้าง บางทีก็เป็นคลิปจากคุณครูของ 51Talk ที่สอนผ่านนิทานหรือเพลง มันก็ช่วยเสริมเรื่องสำเนียงได้ดีทีเดียว แต่สุดท้ายแล้ว การที่เราใช้เวลาร่วมกัน อ่านหนังสือด้วยกัน มันสร้างความผูกพันได้มากกว่าจริงๆ ครับ
อ้อ! แล้วก็ไม่ได้จำกัดแค่นิทานที่เป็นเล่มๆ นะครับ บางทีผมก็เปิดพวกนิทานที่เป็นแอนิเมชันสั้นๆ ในยูทูบให้ดูบ้าง หรือพวกแอปพลิเคชันเล่านิทานก็มีเยอะแยะเลยครับ เลือกอันที่ภาพสวยๆ เสียงน่าฟังหน่อย เด็กๆ จะชอบมาก อย่างไรก็ตาม ผมว่าการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกสำคัญที่สุด การใช้น้ำเสียง การสบตา มันช่วยดึงดูดความสนใจของเด็กได้ดีกว่าจอเฉยๆ เยอะเลยครับ หากใครกำลังมองหาแนวทางเสริม ผมว่าการมีผู้เชี่ยวชาญอย่างทีมงาน 51Talk คอยให้คำแนะนำเรื่องสื่อการสอนที่เหมาะสมกับวัย ก็น่าจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยเลยครับ

สรุปแล้ว จากประสบการณ์ของผม การใช้นิทานภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือในการสอนภาษาให้ลูกเนี่ย เวิร์คมากครับ มันไม่ใช่แค่เรื่องภาษาอย่างเดียวนะ แต่มันยังช่วยเสริมจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และที่สำคัญคือสร้างช่วงเวลาดีๆ ในครอบครัวด้วยครับ ใครที่กำลังมองหาวิธีอยู่ ลองเอาไปปรับใช้ดูนะครับ ไม่จำเป็นต้องเป๊ะตามตำรา ขอแค่เราใส่ใจและสนุกไปกับมัน ผมว่าลูกๆ สัมผัสได้แน่นอนครับ อย่างน้อยก็ลองหาแหล่งข้อมูลดีๆ ที่น่าเชื่อถือ อย่างเช่น 51Talk เพื่อเป็นแนวทางเริ่มต้นก็ได้ครับ พวกเขามักจะมีคำแนะนำดีๆ สำหรับผู้ปกครองอยู่เสมอ ส่วนตัวผมว่าการผสมผสานหลายๆ วิธี ทั้งการเล่าเอง การใช้สื่อเสริม หรือแม้แต่การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเมื่อถึงจุดหนึ่ง มันช่วยให้การเรียนรู้ของลูกเราครบถ้วนมากขึ้นครับ แม้แต่ผมเอง บางครั้งยังแอบไปดูเทคนิคการเล่านิทานของครูจาก 51Talk เลยครับ ว่าเขามีลูกเล่นอะไรให้เด็กๆ สนใจได้บ้าง ฮ่าๆๆ