ตอนเริ่มต้นผมก็แบบหลายคนแหละ อยากเรียนต่อเมืองนอกแต่ภาษาอังกฤษพื้น ๆ ยังไม่แข็งแรง อ่านหนังสือทีไรรู้สึกหมดกำลังใจทุกที ย้อนไปสองปีที่แล้ว ตอนอายุ 20 ต้น ๆ ตัดสินใจแล้วว่าต้องสู้กับมันให้ได้เลยเริ่มขั้นแรก
ขั้นแรก : สำรวจตัวเองก่อนว่าตรงไหนขาด
เอาจริงผมแปะกระดาษโน๊ตไว้ที่คอมพิวเตอร์เลย เขียนว่า “รีบว่ะ มึงไม่รู้หรอกว่าตัวเองอ่อนตรงไหน” เลยลองทำแบบทดสอบออนไลน์ฟรี ๆ บางเว็บหลายที่ ทำเสร็จแล้วหน้าแตกเลย รู้เลยว่าตัวเอง
- ฟังรู้เรื่องบ้างมั่งไม่มั่งก็ไม่รู้ แม่งรู้เรื่องไม่เกิน 40% แถมบางทีคิดไปเองหมด
- ศัพท์เรียนมาตั้งแต่ ม.ต้น ไม่รู้ลืมไปไหนแล้ว ใช้ได้แค่คำง่าย ๆ กับคำที่ติดปากที่ใช้ประจำ
- เวลาเขียนเรียงความ แปลก ๆ ไปหมด ไม่รู้จะต่อประโยคยังไงดี บลา ๆ ไม่มีโครงสร้าง
- พูดได้แต่ออกเสียงเพี้ยน ยิ่งรีบพูดยิ่งไม่มีใครเข้าใจ ยิ่งนอยด์ใหญ่
อ่าวเฮ้ย…แบบนี้แย่แล้วว่ะเนี่ย แสดงว่าต้องเริ่มใหม่หมดเกือบทุกพาร์ท

ขั้นสอง : หายใจลึก ๆ และนั่งวางแผน
เค้าบอกว่าเตรียมก่อนสอบ IELTS หรือ TOEFL สัก 6 เดือนถึง 1 ปี ผมแบบไม่ใช่แน่ ๆ ข้ามัวเมาเชื่อแบบนั้น เพราะตัวผมเองมันเริ่มจากศูนย์อ่ะ เลยให้เวลาตัวเองยาวหน่อย ตั้งเป้าไว้ว่า 2 ปีเต็ม (เพราะบ้าไปแล้ว! บางคนบอก 2 ปีนี่นานเกินนะ แต่กูรู้ตัวเองดี) เน้นยาว ๆ แต่ต้องสม่ำเสมอ
เครื่องมือที่ลงตัวสุดของผม
- แอพเรียนศัพท์ที่เค้าสะกดออกเสียงให้ฟัง ตั้งเตือนตอนหกโมงเช้าทุกวันให้เล่นแม่งเลย ไม่มีพลาด (แค่วันละ 15-20 นาที)
- ฟัง Podcast บทสนทนาชีวิตประจำวันแบบระดับง่าย ก่อนนอนทุกคืน เปิดไว้เบา ๆ ขณะล้างจาน เดี๋ยวก็เริ่มเข้าใจเองโดยไม่รู้ตัว
- สมุดเล่มเล็ก ๆ ไว้จดคำศัพท์เจอบ่อย ๆ พวกกริยาผันนี่แม่งเอาตัวไม่รอดเลย เขียนไป เจอที่ไหนก็ควักออกมานั่งดู
- เลิกอาย! ยอมแอด LINE กลุ่มเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เค้าเปิดแชทเล็ก ๆ มาแกล้งทักเค้าบ่อย ๆ โดยยอมให้เค้าว่าฝรั่งแตกๆบ้าง
ข้อผิดพลาดที่คิดว่าง่ายแต่โหดมาก: ผมเคยทุ่มไปที่แกรมม่าเพียว ๆ เดือนนึง ตำราแบบฝึกหัดเก่าเก็บ ตอนนั้นเครียดจนเรียนไม่รู้เรื่อง อ่านก็งง พอหยุดพักสักอาทิตย์แล้วมาเริ่มใหม่ เปลี่ยนวิธี แบ่งแกรมม่าออกเป็นหัวข้อย่อย อาทิตย์นึงเน้นแค่หัวข้อเดียว + หาตัวอย่างในชีวิตจริงจากเพลงหรือหนังที่ชอบ ปรากฏว่าจำได้ขึ้นเยอะเลย
ขั้นสาม : ความท้าทายคือการฝึกพูดและเขียนจริงจัง
นี่แหละจุดที่กลัวที่สุด! แต่แก้ได้ด้วยการ “เริ่มทำไงล่ะ” อัดคลิปตัวเองตอนพูดหน้าคอม หรือบางทีตอนอาบน้ำก็พูดภาษาอังกฤษไปด้วย (เป็นเรื่องปร๊าสะ! แรกๆนี่ขำตัวเองขี้แตก) หาเพื่อนต่างชาติในแอพฟรี (ที่มันปลอดภัยหน่อย) คุยวันละครึ่งชั่วโมงต่อวัน
ความล้มเหลวครั้งใหญ่: ผมเคยพยายามเขียนอีเมลส่งอาจารย์ขอคำปรึกษาแบบเป็นทางการ ผลคือเค้าส่งกลับมาว่า “Please proofread your email again.” น้ำตาจะไหล! เพราะรู้สึกว่าตัวเองพยายามมากแล้ว แต่พอไปให้เพื่อนต่างชาติช่วยดู เขาชี้แจงว่าเรื่องระดับภาษาที่เลือกใช้เนี่ย…มันไม่เหมาะกับอีเมลทางการแบบนี้เลย ผมเลยซื้อใจเอาเวลามานั่งศึกษาการเขียนอีเมล/เรียงความใหม่หมดว่าเค้าต้องการรูปแบบไหนกันแน่ แบบฝึกหัดเขียนไดอารี่สั้นๆเป็นภาษาอังกฤษทุกคืนช่วยได้มาก อันนี้ทำประจำได้จริง
ขั้นสี่ : ตื่นมารู้สึกว่าตัวเองมีทิศทางแล้ว
พอผ่านไปสักปีนึง คล่องขึ้นนิดหน่อย นึกศัพท์ในหัวได้ไวขึ้น พูดได้โดยไม่ต้องหยุดคิดนานมาก ส่วนฟังนี่คือความภูมิใจเลย อันนี้ต้องเน้นหนักว่า ฝึกฟังทุกวันแบบไม่ต้องเข้าใจทั้งหมดคือกุญแจ การไปหาซีรีส์ที่ชอบแบบซับไทยมาดูก่อน แล้วกลับมาดูซ้ำแบบไม่ใช้ซับเนี่ย มันคือช่วยได้แบบก้าวกระโดด เพราะเรารู้เค้าโครงเรื่องแล้วเวลาฟังจะเดาคำได้ง่ายขึ้น
ความสำเร็จเล็ก ๆ ที่มันดังในใจ: ตอนไปสอบ IELTS พาร์ท Speaking นั้น ก่อนเข้าห้องคิดว่าจะตายเพราะใจเต้นแรงมาก แต่พอเริ่มคุยกับคนต่างชาติจริง ๆ มันเลยรู้สึกเหมือนคุยกับเพื่อนในแอพที่คุยเล่น ๆ ตลอดนั่นแหละ ถึงแม้จะติด ๆ ขัด ๆ แต่ก็ทำให้ผ่านมาได้และได้คะแนนตามเป้า! ตอนรู้คะแนนนั่งน้ำตาไหลอยู่คนเดียวในหอพักเหมือนบ้าไปแล้ว

สรุปแบบเละเทะก็คือ
มันไม่มีคำตอบตายตัวหรอกว่า “ควรเริ่มเมื่อไหร่” แต่จากที่ทำมาเนี่ย ถ้าภาษามันอ่อนมาก เหมือนผมนี่ ยิ่งเริ่มตอนที่ยังไม่ต้องรีบไม่ต้องเค้นสมองมาก ยิ่งได้เปรียบ เริ่มวันนี้เลยนี่แหละดีสุด เอาวันละนิด ค่อย ๆ สะสม ไม่ต้องโหมหนักเริ่มจากความชอบเราก่อน ใช้หนัง ใช้เพลง แอพดี ๆ ให้เป็นประโยชน์ มันจะค่อย ๆ ซึมซับไปเอง แล้วพอมาเรียนเข้มข้นทีหลังเพื่อสอบเนี่ย จะรู้สึกโล่งมากว่าพื้นฐานที่มีมันช่วยเราไปเกินครึ่งแล้วจริง ๆ
เหนื่อยก็พัก หยุดก็ได้ แต่กลับมาต่อให้ไว! ผมก็ล้มหลายรอบแหละ…แต่คิดเสมอว่าเดี๋ยวก็ดีขึ้นแหละถ้ายังไม่เลิก แล้วสุดท้ายมันจะดีขึ้นเองครับ!
