จุดเริ่มต้นวันแรก
เช้านั้นตื่นมาก็ผัดผ่อนมาตั้งกะปี มันไม่รู้เรื่องอังกฤษเลยจริงๆ แค่ hello world ยังพูดไม่คล่อง เพื่อนแชร์มาว่ามีคอร์สเรียนฟรีดี ฉันนั่งกดโหลดแอพเข้าระบบนั่งแทบถลกตาหน้าจอ
เริ่มจากเดินไปที่ไหนก็อุ้มมือถือดูคลิปสอนทุกวัน
- 7.00 น. : ฟังเพลงภาษาอังกฤษตอนตื่นนอน พอได้ยินคำว่า “water” ก็ต้องเอามือกดหยุดแล้วพูดตามสิบรอบ
- 12.00 น. : อ่านนิทานเด็กตอนกินข้าว เจอ “The cat sits.” ยังต้องเปิดดิกทั้งที่รู้ว่าแมวนั่ง
- 19.00 น. : ลองเขียนไดอารี่สามบรรทัด คำว่า “happy” สะกดเป็น “habby” โดนแอพแก้ไขเส้นแดงเต็มจอ
ทนทำซ้ำจนติดเป็นนิสัย
อาทิตย์ที่สองเริ่มท้อสุดๆ นั่งฟังครูฝรั่งพูดแล้วสมองตื้อเหมือนโดนมอเตอร์ไซค์ทับหู แถมแอพ AI มาด่าเสียงดังว่า “ผิด! พูดใหม่!”
แก้เก่งโดยการตีความสูตรของตัวเอง
- ฝึกพูดกับกระจกในห้องน้ำแบบไม่เขิน แกล้งเป็นซูเปอร์สตาร์สัมภาษณ์ “Yes! I eat pad thai!”
- เอาสติ๊กเกอร์ติดชื่อสิ่งของ ตู้เย็นเขียนว่า “cold box” โถส้วมเขียน “poo throne” (อันนี้เว่อร์ไปหน่อย)
- เข้า Fanpage ไปคอมเมนต์ฝรั่งด่าเรื่องหมาบ้า แค่พิมพ์ “Your dog crazy! Shut up!” ก็พอใจแล้ว
เจอทางจนชิน
เดือนที่สามนี่มันจี๊ดขึ้นจริงๆ เดินผ่านร้านกาแฟเห็นป้าย “50% discount” สมองกะพริบปุ๊บรู้เลยว่า ลดครึ่งนึง! เพื่อนแชร์ MEME ก็นึกออกว่ามันตลกเพราะอะไร
หลักฐานที่ความขี้เกียจเริ่มหาย
- ร้องเพลง Billie Eilish ในรถได้โดยไม่ดู lyrics (แม้จะฟังเหมือนแมวกินยาถ่าย)
- สั่งสเต็กเปื่อยได้ถูกต้องในร้านฝรั่ง “Medium rare, no blood! Soft beef!”
- แอบฟังคู่หมั้นฝรั่งตบหน้ากันใน BTS รู้เรื่องกว่า ละคร เกาหลี
สรุปก็แค่หยุดคิดแล้วเริ่ม
ตอนนี้พยายามเลิกอายเวลาผิด ฝรั่งมันก็พูดภาษาเราผิดได้นี่หน่า แอพเรียนมันก็เหมือน ป้าแก่ใจดีคอยบ่นถ้าเราขี้เกียจ ทุกอย่างแค่ต้องยอมให้ตอนเริ่มแรกมันห่วยแตกก่อน เดี๋ยวมันเก่งเอง
