เริ่มต้นด้วยความมึนงง
คือตัวจริงเก็งอังกฤษแบบงูๆปลาๆมานานละ ปัญหาเดิมๆคือ ฟังไม่ออก พูดไม่เป็น นั่งดูซีรี่ย์ก็ต้องซับไทยตลอด เพื่อนฝรั่งทักมาก็ตอบได้แค่ “Yes”, “No” จบ! แค่นี้มันช้ากว่ากาแม่น้ำแตกอีก เลยตัดสินใจซัด เลือกคอร์สเรียนนอกแบบเร่งด่วน 1 เดือน เพราะเพื่อนบอกว่าแบบนี้แหละที่ภาษาอังกฤษจะบินแบบจรวด
- ขั้นแรก: หาโรงเรียน – นั่งกูเกิ้ลแหกตา ห้องเรียนต้องเล็ก ค่าใช้จ่ายต้องไม่บานปลายจนขายตับ ใช้เวลาอาทิตย์นึง เลือกแทบเป็นบ้า เจอที่หนึ่งใจดี มีคลาสเริ่มทุกวันจันทร์เลย ตัดสินใจ จ่ายตังค์ทันที ไม่ให้โอกาสคิดมาก
- ขั้นสอง: เตรียมตัวรัวๆ – กางปฏิทินดูวีซ่า ตั๋วเครื่องบิน อ้าวเฮ่ย! หมดด่วน! จองตั๋วแพงกว่าเพื่อนบ้านบิน เสียดายแทบแย่ ดีไม่ดีที่คิดว่า เรียนนิดหน่อยก็คงได้
ถึงที่เรียนวันแรก – เกือบจะกลับบ้าน
ส่องดูห้องเรียนเพื่อนร่วมชะตากรรมเป็นใครบ้าง คนนู้นมาจากญี่ปุ่น คนนี้มาจากจีน อาจารย์เปิดปากปุ๊ป พูดอังกฤษรัวฉาด แถมสำเนียงไม่เหมือนใน YouTube ที่เคยฟังเลย! มึนหัวทันที ยกมือตอบคำถามก็ไม่ถูก หัวจะระเบิด รู้สึกโง่แบบหน้ามืด อยากเก็บกระเป๋ากลับไทยตอนนั้นแหละ หลังเลิกคลาสนั่ง หันไปหาอากิ (อาจารย์) ว่า “คือ…ชั้นอ่อนมากนะ ช่วยหน่อยได้ไหม?”
นั่นแหละคือจุดเปลี่ยน! อากิ ดึงเราไว้ ไม่ให้ถอดใจ เธอบอก “ห้ามท้อ! คนที่มาใหม่ทุกคนเป็นแบบนี้” แล้วเธอจัดคอร์สส่วนตัวเสริมทันทีแบบไม่ง้อตังค์เพิ่ม เน้น ตะลุยพูด กับเธอ วันละชั่วโมง เลย ไม่ต้องกลัวอายใคร แถมสั่งไม่ให้หนีไปกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนไทยที่เจอในโรงเรียน ให้ยัดตัวเองไปนั่งกับกลุ่มชาติอื่น แม้จะฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม
ใช้ชีวิตนอกห้องเรียนก็เหมือนเรียนไปด้วย
ล้มเลิก การนั่งสั่งอาหารในแอปหรือชี้รูปในเมนูแบบเดิมๆ ย้ายมาปักหมุดร้านกาแฟแถวๆหอ เป็นที่ซ้อมถามตอบประจำวัน พยายามคุยทุกครั้งไม่ว่าแม่ค้าจะทำหน้าเบื่อแค่ไหน!
- ตื่นเช้ามาชงกาแฟ เครื่องพัง ก็ หันไปตะโกนถาม เพื่อนร่วมครัวว่ากดยังไง แรกๆพูดตะกุกตะกัก เดี๋ยวขัด เดี๋ยวลืมศัพท์
- ไปเดินตลาดนัด ลองต่อรองราคาแค่ผ้าพันคอ ก็พูดสลับไปมาระหว่าง “Cheaper… please?” กับทำท่าปวดหัว พร้อมนับเงินแสดงว่าน้อยเหลือเกิน
- ขึ้นรถเมล์/แท็กซี่ผิดสาย เจอประจำ! แต่พอยิ่งพลาด ยิ่ง จำศัพท์เกี่ยวกับทาง ในหัวเร็ว ไหนจะ “Turn left”, “Which stop?” แทนที่จะโมโหก็เถียงใส่คนขับแทน สุดท้ายกลายเป็นได้เรียนรู้สำเนียงท้องถิ่นไปด้วย
เริ่ม ฟังเพลงฝรั่ง ไม่พยายามแปลทุกคำแล้ว ปล่อยให้จังหวะกับคำที่จับได้นำทางไปก่อน เปิด ยูทูปปาท่อง คลิปสนทนาสั้นๆตอนรอรถ หรือนั่งเข้าห้องน้ำ เลิกพึ่งซับไทย ไปเลยทันที แม้ช่วงแรกจะรู้เรื่องแค่ 60% ก็ตาม
สุดท้ายในเดือนที่ไม่ง่ายแต่คุ้มมาก
พอครบ 30 วัน หันกลับมามอง ความเปลี่ยนแปลงเองยังทึ่ง เรียนจบไม่ใช่แค่ได้ใบเซอร์ติฟิเคท แต่มันได้ความมั่นใจที่เอากลับไปไทยด้วย
- จากตอนแรกฟังอาจารย์ไม่ค่อยรู้เรื่อง ตอนจบ แยกแยะสำเนียง อเมริกัน/อังกฤษในคลาสได้แล้ว
- จากพูดติดขัด ปัจจุบัน ยกมือตอบหรือค้าน ในหัวข้อถกเถียงในคลาสได้โดยไม่หงุดหงิด
- เดินทางคนเดียวถามทางคนขับแท็กซี่หรือพนักงานได้แบบ 100% ไม่ต้องรอนิ่ง นึกคำนาน
สรุปให้ฟังตรงๆ การไป “อยู่” กับภาษาในสภาพแวดล้อมที่มันคืออากาศที่ต้องหายใจนี่แหละ ที่ผลักเราแบบเร่งด่วนให้เก่งขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว แม้ร่วงบ้างล้มบ้าง แต่ถ้ามุ่งมั่นตั้งใจ ออกไปหาประสบการณ์จริงอย่างเรา เวลาเพียงเดือนเดียวมันแตะฟ้าได้เลย!
