ตอนนั้นเริ่มคิดเรื่องเรียนพิเศษภาษาอังกฤษอีกที เพราะรู้สึกว่ามันติดขัดจริงๆ ในการทำงานนะ ยอมรับเลยว่าท้อมาก
เริ่มจากสาเหตุที่ต้องไปเรียนตัวต่อตัว
รู้ตัวเองมาตลอดว่าพอเจอชาวต่างชาติทีไร เป็นต้องมึนทุกที เหมือนปากหนักมาก พูดไม่ออก ทั้งๆ ที่คำศัพท์ในหัวก็มีนะ แต่พอต้องพูดจริงๆ กลับคิดไม่ออกว่าจะเรียงคำยังไง ไปเรียนคอร์สกลุ่มที่โรงเรียนสอนภาษาก็หลายรอบแล้ว แต่ทุกครั้งก็จบเหมือนเดิม คือมันดันพูดได้แต่ในห้องนั่นแหละ พอกลับบ้านหรือต้องใช้จริงดันตื่นเต้นจนกดดันตัวเองหนักกว่าเดิมอีก ซ้ำร้ายบางคลาสอาจารย์เน้นแกรมม่าเต็มๆ เลยยิ่งรู้สึกว่าตัวเองห่วยแตก
เริ่มลองหาที่เรียนตัวต่อตัวแบบเฉพาะเจาะจง
เฟสบุ๊กดันโฆษณาคอร์สตัวต่อตัวมาให้ตอนง่วงๆ ตอนดึก (มันชอบโฆษณาแปลกๆ ตอนดึกๆ นี่แหละ!) เลยนั่งคิดต่อว่า “เออ… ทำไมไม่ลองเรียนแบบตัวต่อตัวล่ะ มันน่าจะตรงจุดกว่า” เลยนั่งไล่ดูรีวิวผู้สอนหลายคนในพื้นที่ ตั้งใจหาเป็นพิเศษว่าต้องเน้นการสนทนา แกรมม่าให้พอสื่อสารได้ก็พอ อยู่ๆ ก็ไปสะดุดตาเจอบล็อกรีวิวอาจารย์ท่านหนึ่งในกลุ่มท้องถิ่น ทุกคอมเมนต์ดันชมว่าใจดีมากและ “ปรับการสอนให้เข้ากับผู้เรียน” เลยตัดสินใจลองทักแชตไปถามรายละเอียดดู

นัดเจอกันที่คาเฟ่ใกล้บ้านช่วงบ่ายวันเสาร์ จำได้ว่าขากลับบ้านเดินเปื้อนยิ้มอยู่คนเดียวเลย ครูอธิบายให้ฟังตรงๆ เลยว่า “หลักสูตรมันไม่มีหรอก เราจะเริ่มจากจุดที่เธอติดขัดไปเลยดีกว่า” ครูให้เริ่มเล่าเรื่องงานที่กำลังทำอยู่ (ซึ่งเป็นบริษัทส่งออกเล็กๆ) จากนั้นครูก็ชี้จุดแข็งจุดอ่อนให้เห็นชัดๆ เช่น “ศัพท์ธุรกิจเธอรู้เยอะนะ แต่เวลาสรุปเรื่องราวกลับเรียงลำดับเหตุผลไม่เป็น” หรือ “เวลาแปลไอเดียในหัวเป็นภาษาอังกฤษเหมือนสมองสะดุดห้ามไม่ให้พูด” ตอนนั้นนี่รู้เลยว่าเราเจอทางแล้ว!
เข้าเนื้อหาการเรียนจริง แบบดึงจุดอ่อนมากางให้หมด!
คอร์สเรียนที่ผ่านๆ มาจะต้องนั่งทำแบบฝึกหัดแกรมม่าเยอะมาก แต่นี่… บอกตามตรงวันแรกนี่ถึงกับอึ้ง! ครูบอกให้ยกโน๊ตบุ๊คมาแล้วก็ให้ ทำการบ้านที่บริษัทสั่งจริงๆ ตรงหน้าครูเลย คือให้กุมขมับตั้งแต่ปัดเปิดเครื่อง! พอทำไปคุยไป ครูก็จะช่วยแก้ทันทีเมื่อเห็นเราติดขัด เช่น:
- พอดูอีเมลที่ต้องตอบนักลงทุนต่างชาติ ครูจะนั่งข้างๆ และแทรกทันทีว่า “เวลาเจอเคสแบบนี้ คำนี้ใช้คำนี้ได้ป็นทางการกว่า”
- พอเจอจุดที่มึนงงว่าจะอธิบายงานยังไงให้ฝรั่งฟังเข้าใจ ครูจะเขียนโครงประโยคง่ายๆ บนกระดาษร่างให้เป็นเข็มทิศก่อน แล้วค่อยให้ลองพูดตาม
- พอพูดบางประโยคออกมาแล้วฝรั่งอาจงง ครูจะจำลองสถานการณ์ทันทีว่า “ถ้าเจอแบบนี้ ให้พูดเป็นประโยคสองท่อนแบบนี้จ้า จะได้ไม่ต้องเกร็ง”
สิ่งที่ได้เกินกว่าที่จ่ายไป
เรียนมาประมาณสามอาทิตย์เริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงชัดขึ้น:
- เวลาเขียนอีเมล เราไม่ต้องเปิดดิกทุกสามคำแล้ว เพราะครูปรับให้เราใช้ศัพท์เดิมๆ ได้คล่องโดยไม่ซ้ำซาก
- พอนัดประชุมกับลูกค้าใหม่ที่ญี่ปุ่นแต่ใช้ภาษาอังกฤษคุย นั่งสแกนนึกประโยคในหัวเป็นกะผ่อน แล้วปากมันพูดออกมาซะงั้น! มันรู้สึกเหมือนขี่จักรยานเป็นครั้งแรกอ่ะ
- ที่ประทับใจมากสุดคือครูจี้ให้เราบันทึกทุกคำถามที่เจอในหนึ่งอาทิตย์ (นี่แหละที่ทำให้ได้เรียนอะไรตรงจุดมากๆ เช่น ตอนต้องเขียนงบประมาณยื่นเจ้าทุนเนี่ย เราก็ห้ามคำว่า “estimate” เฉยๆ ต้องเจาะลึกว่า “projected expenditure” ต่างหาก)
สิ่งที่ทำให้รู้ว่านี่คือทางออกของเรา
จุดแตกหักคือวันที่เจ้านายถามอย่างงงๆ ว่า “ทำไมไม่สั่งของจากซัพพลายเออร์ที่โรมาเนียล่ะ?” เรากลับอธิบายได้ด้วยว่า “Lead time ยาวเกินเพราะขนส่งทางเรือช่วงนี้คอขวด แถม shipping cost พุ่ง” — ซึ่งมันก็คือปัญหาและข้อจำกัดที่เจอจริงและคุยกับครูเมื่อคาบเรียนที่แล้วนี่เอง! เคยคิดในใจเสมอว่า “เรียนพิเศษ มันต้องทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นสิ” ตอนนั้นถึงเข้าใจเลยว่าครูค่อยๆ ลากเส้นทางจากปัญหาในสมุดงานของเรา มาโยงเข้ากับตัวภาษาทีละจุด เหมือนปักหมุดให้ตรงจุดรั่วจริงๆ
หลังจากเรียนไปครึ่งปี ตอนนี้เวลาคุยงานกับฝรั่งในห้องประชุม อึดอัดน้อยลงมาก เหมือนครูมาเปิดไฟสว่างๆ ทิ้งไว้ให้ตรงทางเดินที่เราเคยสะดุดได้คล่องขึ้นเยอะ คอร์สตัวต่อตัวนี่มันบีบให้เราเผชิญจุดอ่อนแบบหนีไม่ได้ต่างหาก ข้อดีคือครูเห็นเราเละเทะตอนไหนก็ปรับได้ทันที ไม่เหมือนเรียนกลุ่มที่โดนทิ้งให้จมอยู่กับปัญหาเก่า ทั้งๆ ที่จ่ายไปแพงกว่าบางคอร์สซะอีก แต่ถ้าดูว่าปัญหามันหายไปจริงไหม ชีวิตการงานดีขึ้นชัดเจนขนาดนี้… มันคุ้มเกินกว่าคุ้มจริงๆ
