เริ่มจากชีวิตพังๆ
จำได้ว่าวันนั้นตีสี่ยังนอนตาเจ๊ะอยู่ ฝรั่งลูกค้าท์้งไลน์มาเป็นพรวนถามเรื่องสเปคงาน กูอ่านไม่ออกซักคำ! นั่งจ้องจอมือสั่น เหงื่อแตกเหมือนโดนจับโกงข้อสอบ สุดท้ายรีบปล่อยสายให้เพื่อนช่วยแปล หน้าแตกระนาวเลยเว่ย
บ้าพลังจัดตารางแบบถวายชีวิต
เช้าวันถัดมาก็ดุดสรงออกโรงเลย:สามเดือนต้องพูดได้!
- ตั้งนาฬิกาปลุกตีห้า ตื่นมาฟังข่าว BBC ทางยูทูป แรกๆเหมือนฟังภาษาเกาหลี
- ช่วงพักเที่ยง เอาข้าวกล่องหนีไปนั่งดมต้นไม้ เปิดแอพพูดกับ AI วันๆนึงบ้าๆบอๆกว่า 30 ประโยค
- เลิกงานทีไร หนังสือแกรมม่าติดเก๋ง ฝนรถติดเมื่อไหร่เปิดท่องทีนั้น
- ก่อนนอนดันเปิดTikTok กลายเป็นสกอร์ดฝึกสะกด แทนลืมตามองพุงตัวเอง
ทุ่มได้ปาราชิคต้องเจ๊ง
สัปดาห์ที่สามเริ่มท้อโคตร แกรมม่าเล่มหนาเป็นเซ็นต์ ท่องยังไงก็ลืม เวลาพูดปากแข็งเหมือนพายเรือในอ่าง เกือบโยนโทรศัพท์ทิ้งสระน้ำสาธารณะ

หักดิบด้วยวิธีโหดสัส
ตัดปัญหาโดนจัด ไลฟ์สด Facebook ทุกคืนวันพุธ หัวข้ออะไรก็ได้แต่ห้ามพูดไทย มีเพื่อนสามคนแอบด่าในแชทว่า “กระสือหาคอ” แต่ยังดีที่ฝรั่งหลงเข้ามาดูบ้าง โดนซักถามจนมุมทุกครั้ง ทำไงได้ ก้มหน้าก้มตาสะกดคำแบบห่วยๆตอบไป
สามเดือนที่เลือดตกยางออก
พอครบกำหนดก็มีปาฏิหาริย์:
- ตอนประชุม หัวหน้ายื่นรายงานอังกฤษให้แปลสด กูแกะได้เกือบหมด
- วันก่อนเจอฝรั่งหลงทาง ลากเข้าโรบินสันนั่งอธิบายทาง แถมชวนเมาท์มอยเรื่องหน้าฝน
- ล่าสุดโดนเมลคืนสเปคงาน เจอที่ผิดแก้ไขทันควัน ลูกค้ายกนิ้วให้ในเมลตอบกลับ!
สรุปแบบบ้านๆ
ภาษาเรียนแบบนี้ถึงใช้ได้จริง ไม่ต้องรอให้เป๊ะ แต่ต้องใช้จนเป็นนิสัย สิ่งสำคัญสุดคือ “อย่าอาย” หน้าแตกแค่ไหนก็ต้องยัดคำออกไป ส่วนแกรมม่าที่ปวดหัว มันจะค่อยๆซึมซับตอนเราได้ยินบ่อยๆ ทุกวันนี้กูยังพูดเพี้ยนบ้าง แต่ “เสียหน้าแต่ได้งาน” นี่คุ้มกว่าเยอะ!
