โอเคนะ วันนี้อยากเล่าประสบการณ์เรื่องเรียนภาษาอังกฤษที่ไทยกับเรียนต่างประเทศว่ามันต่างกันยังไง ทักษะได้ครบมั้ย เผื่อคนไหนกำลังคิดว่าจะไปเรียนเมืองนอกดีเปล่า
เริ่มก่อนเลยที่ตัดสินใจเรียนในไทย
ตอนแรกหาข้อมูลโรงเรียนในกรุงเทพเพียบเลย ไปเดินดูเองหลายที่ ตัดสินใจลงคอร์สแบบเข้มข้น 6 เดือนกับโรงเรียนนึงในสยาม
- วันแรกไปถึงนี่ตื่นเต้นมาก เข้าห้องแล้วเจอแต่นักเรียนไทยด้วยกันทั้งหมดเพื่อนร่วมห้อง 20 คนเนี่ยฝรั่งไม่มีเลย
- ครูเป็นคนไทยจบเอกอังกฤษ สอนทุกอย่างเองหมดแกรมม่าร์+คำศัพท์ ครูชอบใช้ภาษาไทยอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ
- เน้นตำราอะนู่นนี่ หนังสือหนาๆแบบฝึกหัดเพียบ ทำข้อสอบจำลองบ่อยมาก กว่าจะครบ 6 เดือนทำข้อสอบเสร็จไป 50 ชุดแหน่ะ
- ทักษะพูดนี่ฝึกในห้องล้วนๆ แค่ให้ตอบคำถามตามบทเรียนกับเล่าเรื่องสั้นๆ กะเพื่อนๆ บางทีลอกการบ้านกันมั่ง 555
พลิกชีวิตไปลองเรียนที่ต่างประเทศดูบ้าง
หลังเรียนจบในไทยนี่สงสัยเลยสมัครไปเรียนสิงคโปร์อีก 4 เดือน ฝากเงินบินไปแบบไม่คิดเยอะ

- ตกใจแรกเห็นห้องเรียน เพื่อนมาจาก 12 ประเทศทั้งบราซิล-รัสเซีย-ญี่ปุ่น-เยอรมัน ครูเป็นฝรั่งอังกฤษแท้ๆ แถมบังคับห้ามพูดภาษาแม่!
- เรียนเน้นใช้จริงทั้งวัน แกรมม่าร์แค่วันละ 1 ชม.ที่เหลือให้ทำงานกลุ่ม-โต้วาที-ถกประเด็นข่าวร้อน แถมครูพาไปตลาดท้องถิ่นให้สัมภาษณ์คนขายด้วยสิ
- ชีวิตนอกห้องเรียนก็คอร์สสอนฟรี ทุกวันต้องซื้อข้าวเอง-ถามทาง-คุยคิวกะเด็กนักเรียน ผิดนิดถูกหน่อยคนเขาก็ช่วยแก้ให้
- ติดปัญหาแบบจุกๆ อาทิตย์แรกนัดหมอฟันแทบร้องไห้เพราะอธิบายอาการไม่ถูก หรือสั่งอาหารน่ะเหรอ เรียกได้แค่ “นัมเบอร์ไฟว์” เยอะมาก
เอามาเปรียบเทียบเลยว่าได้อะไรต่างกัน
เรียนไทยได้ข้อดีคือเข้าใจทฤษฎีเร็ว แกรมม่าก๋ากั่น เขียนอีเมลเป็นระบบกว่า แต่เวลาเจอฝรั่งจริงเนี่ย ฟังไม่ทัน ตอบตะกุกตะกัก
เรียนเมืองนอกเหมือนโดนโยนลงทะเล อาทิตย์แรกฟังไม่รอด แต่อยู่ไป 2 เดือนพูดลื่นขึ้นเองโดยไม่รู้ตัว ตอนบินกลับบ้านคุยกะแอร์โฮสเตสได้เป็นชั่วโมงไม่สะดุด
สรุปสั้นๆเลย
เรียนเมืองไทยก็โอเคถ้าอยากได้พื้นฐานแน่นๆสอบผ่าน แต่ถ้าอยากใช้คล่องเหมือนภาษาที่สอง ต้องไปจมอยู่ในสภาพแวดล้อมที่บังคับให้ต้องใช้จนติดเป็นนิสัย การเรียนเมืองนอกมันทำให้ได้ทักษะ “การเอาตัวรอดด้วยภาษาอังกฤษ” ที่ไม่มียอดสอนในตำราไทยหรอกนะ