ตอนนั้นเพิ่งเลิกเรียนพิเศษภาษาอังกฤษอะ ครูให้การบ้านมาอ่านบทความยาวๆ อ่านแป๊บเดียวปวดหัวเลย ยอมรับว่าแทบไม่อ่านภาษาอังกฤษเลยในชีวิตประจำวัน นอกจากคำว่า “like” กับ “share” นี่แหละ
เริ่มจากเอาให้ใกล้ตัวที่สุด
ไม่อยากหักโหม เอาจากของใกล้ตัวก่อนเลย เปิดมือถือดูก่อน เจออะไรที่มีอังกฤษก็นี่แหละโอกาส ลองเปิดแอปดนตรีที่ชอบดู อ่านชื่อเพลงตะวันตกซะก่อนก็ยังดี
- ติดโพยไว้ทุกที่ที่ใช้บ่อย: พวกแอปในมือถือเนี่ย เปิดออกปุ๊บเห็นเมนูอังกฤษก็อ่านดะเลย แปะโพยคำศัพท์ง่ายๆ กับปุ่มกดสำคัญไว้ตรงเฟรมมือถือด้วย
- อ่านเมนูก่อนซื้อ: เจอแผงชานมไข่มุกที่ชอบ เขียนป้ายภาษาอังกฤษไว้ว่า “Brown Sugar Pearl” อ่านไปนึกไปว่าแบบที่ตัวเองชอบสั่งน่ะมันกี่บาท จนถึงนาทีสุดท้ายก่อนสั่ง นึกออกปุ๊บ “เออ! นี่มันชานมไข่มุกน้ำตาลไหม้ไง!” รู้สึกเหมือนเดากระดิ่งแตงโมถูกเนี่ยแหละ
- ดันขึ้นเลเวลนิดๆ: ลองเปิดดูเพลงโปรด ติดตามเนื้อร้อง (Lyrics) ไปด้วย ไม่เข้าใจทั้งหมดก็ฮัมตามเพลงไปก่อน อารมณ์เหมือนเวลาไอที่คอคันๆ แหะๆ
เจอเรื่องไม่คาดคิดแต่ช่วยได้เยอะ
วันนึงขับรถไปธุระ ฝนตกหนักจนถนนน้ำท่วม รถติดสามชั่วโมง เบื่อจนนั่งมองทุกอย่างในรถ ตาไปเจอฉลากสินค้าที่มีอังกฤษทั้งแผ่น สารพัดที่เคยนึกว่าไม่สำคัญ

เห็นคำว่า “instructions” ในฉลากที่พวงมาลัย แปลในใจว่า “คู่มือ” นั่นเอง แล้วก็มีเลขบอกจำนวนแอร์แบ็ก “Dual Airbags” นี่คือสองอันใช่มั้ย? บันไดท้ายรถเขียนว่า “step bumper” อ่านแล้วก็ฮา เพราะแปลตรงตัวว่าตูดขั้นบันไดเลย แต่จริงๆแล้วน่าจะหมายถึงกันชนที่เป็นบันไดนี่แหละมั้ง
ระหว่างร้องเพลงไปดื้อๆ เพื่อลืมความหิว ตะโกนออกมาว่า “Uptown Funk you up!” มันสะกิดในหัว นั่นสไมล์ของ Bruno Mars ที่ทำให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงคือ ทำให้คุณรู้สึกดีไปด้วย! นี่คือการสังเกตแบบไม่ได้ตั้งใจ
ตอนนี้เลิกกลัวแล้ว เวลาตาไปเจออังกฤษในที่สาธารณะ: ไม่ว่าจะเป็นป้ายบอกทางอย่าง “Toilet” หรือ “Fire Exit” หรือแม้กระทั่งคำแนะนำในลิฟต์ ความลับของมันคือ มันมักจะเขียนให้ชัดเจนและใช้คำซ้ำซากอยู่แล้ว ขนาดป้ายขนาดพกพา เขาเอาคำพวกนี้มาใช้เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายและตรงกัน