ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า กูก็เป็นคนหนึ่งที่อยากเก่งอังกฤษ แต่ว่าไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ไม่มีตังค์ไปเรียนคอร์สแพงๆ เลยต้องมานั่งหาวิธีเรียนฟรีในเน็ต ตอนแรกมันก็มั่วมากกก
เริ่มต้นยังไงก็ไม่รู้
เปิดกูเกิลพิมพ์ไปว่า “เรียนภาษาอังกฤษฟรี” โคตร!!! มีแต่เว็บแปลกๆ บางเว็บให้เรียนแค่บทเดียวแล้วให้จ่ายตัง บางเว็บเล่นเอาต้องลงทะเบียนซับซ้อนเว่อร์ พอเข้าดูเนื้อหาก็โบราณม๊าก เป็นวิดีโอคุณปู่สอนยังไงยังงั้น เรียนแป๊บเดียวกูเบื่อแล้ว คิดในใจว่าถ้าเรียนเองแบบนี้ไม่รอดแน่ๆ
เจอทางออกแบบงงๆ
วันนึงนั่งเลื่อน TikTok ไปมา เจอแอคเคานต์นึงเขาสอนวลีใช้ในร้านอาหารแบบง่ายๆ อารมณ์ประมาณ:
- “ขอช้อนเพิ่มหน่อย” = “Can I get extra spoon?”
- “เผ็ดน้อยหน่อยได้มั้ย” = “Less spicy please?”
ปรากฎว่าแค่คลิปสั้นๆ แบบนี้ทำให้กูเริ่มเข้าใจว่าเออ จริงๆ ถ้าเรียนจากสิ่งที่ต้องใช้ก่อนก็ได้นี่หว่า ไม่ต้องไปนั่งท่องแกรมม่าตอนแรกก็ได้
เลยเปลี่ยนแผนทันที
กูเริ่มตามหาแพลตฟอร์มฟรีแบบเน้น “เรียนผ่านเรื่องใกล้ตัว” โดย:
- ตั้งโจทย์ตัวเองก่อน เช่น สัปดาห์นี้จะฝึกเรื่อง “การสั่งอาหาร” หรือ “การเช็คอินโรงแรม”
- ค้นในยูทูปเฉพาะเจาะจงเลย พิมพ์ว่า “Learn English for restaurant FREE” แทนการค้นกว้างๆ
- ใช้แอพฟรีที่เค้าลงคอร์สสั้นๆ หาเจอหลายแอพ แต่ต้องยอมเสียเวลาดูรีวิวก่อนว่ามันมีดักจ่ายเงินมั้ย
เจ็บตัวนิดนึง ตอนเข้าเว็บนึงที่มันบอกว่า FREE โฆษณาเยอะเวอร์! ครึ่งนึงเป็นปุ่ม “UPGRADE NOW!” กว่าจะหาปุ่มเริ่มเรียนแท้ๆ ต้องตาแฉ่ง แต่พอเจอของดีก็คุ้ม
สรุปว่าต้องเจอทางของตัวเอง
ตอนนี้กูเรียนฟรีมาสามเดือนแล้ว เรียนทุกวันวันละนิด เลิกกดดันตัวเองเรื่องต้องร้องเพลงเหมือนฝรั่งได้แล้ว เน้นแค่ “พูดแล้วคนเข้าใจ” + “ฟังรู้เรื่อง” อย่างเดียว
- เริ่มจาก เรื่องที่ใช้จริงในชีวิตเรา ก่อน (งาน/ท่องเที่ยว/ดูหนัง)
- เลือกสื่อฟรีที่เรียนแล้วไม่ปวดหัว เลือกไม่เกินห้านาที ถ้ายาวไปขี้เกียจ!
- ท่องศัพท์แค่รอบตัวก่อน เช่น ของในห้องนอน, เมนูอาหารที่ชอบ
ที่สำคัญคือ อย่าเชื่อใครว่าวิธีไหนดีที่สุด เคยโดนเพื่อนบังคับให้เรียนแกรมม่าแรกๆ ยัดเยียดจนเกลียดภาษาไปพักใหญ่ พอมาเรียนแบบเลือกเรื่องที่ชอบเอง แม่งพอมีไฟขึ้นมานิดหน่อย บอกเลยเรียนฟรีบนเน็ตมันก็ได้ผลถ้าเราจัดการตัวเองเป็น หาตรงกับนิสัยเราให้เจอ เพราะถ้าขืนต้องนั่งเรียนแบบเป็นทางการในคลิปยาวๆ นี่กูหลับก่อนแน่นอน! อยากฟรีก็ต้องขยันเลือกนิดนึง แต่คุ้มค่ามาก ไม่เสียตังค์ซื้อ “ความหวัง” แพงๆ แล้วมานั่งท้อทีหลัง