เมื่อสามเดือนก่อนนั่งดูซีรีย์ฝรั่งเองยังงงเลย เวลาฟัง dialogue แค่ Hello How are you ก็พอรู้เรื่อง พอถึงประโยคยาวๆหูตันไปหมด เหมือนมันพูดคำเดียวกันหมดอ่ะ บอกตรงๆตอนนั้นแทบอยากทิ้ง tablet ใส่แม่น้ำเจ้าพระยา
จุดเริ่มต้นหายนะ
วันนึงรื้อตู้หนังสือเจอสมุดแกรมม่าเก่าสมัยมัธยม ที่ครูเขียนวงกลมแดงไว้เต็มหน้าหมด ตอนนั้นเพิ่งรู้ตัวว่า verb to be ยังใช้ไม่เป็น เลยนั่งถอนหายใจอยู่คนเดียวที่ร้านข้าวไข่เจียวแถวบางนา
เริ่มต้นแบบงูๆปลาๆด้วย 3 วิธีพื้นๆ:

- แปะโน้ตข้างคอมพ์ – เอาสูตรพวก present simple พวกนี้ไปติดไว้ข้างจอ Dell เครื่องเก่า เวลาทำงานเว็บบริษัทแอบมองซ้ายมองขวาดูก่อนตอบไลน์
- เปิดเพลงฝรั่งแล้วม้วนกระดาษตีโต๊ะ – นึกว่าจับไมค์อยู่คาราโอเกะพังๆทั้งๆที่กำลังฟัง Ed Sheeran แล้วตะโกนตามตอนแม่ซื้อผักอยู่ข้างล่าง
- แต่งห้องเป็นดงโพสต์อิท – ติดคำศัพท์พวก make/do ไว้ทั้งกระจกห้องน้ำ ประตูตู้เย็น แม้แต่ทีวีทีเอสซี ซักผ้าอยู่ก็เห็น make breakfast ทำความสะอาดก็เจอ do homework หน้าตาเฉย
ทางตันที่ร้านน้ำชา
อาทิตย์ที่สองเริ่มท้อหนัก ตอนทดลองพูดกับพี่หนุ่มแถวแฟลตที่เค้าขายชานมไข่มุกด้วยกัน เวลาฟังเพลงก็ยังแยกแยะไม่ออกว่า He don’t กับ He doesn’t ต่างกันตรงไหน แถมไปดูคลิปครูฝรั่งบนเน็ตเหมือนหลุดไปอยู่ดาวอังคาร อารมณ์คนบ้านนอกเห็นพระอาทิตย์ตกครั้งแรก รู้ว่ามันคืออะไรแต่ไม่รู้ว่าควรทำยังไง
จนเช้าวันหนึ่งนั่นแหละ ประสบการณ์พิลึกกังวาลเลยเกิดขึ้น ตอนบ่ายๆกำลังนั่งนับลูกปัดสำหรับออกแบบสร้อยอยู่ดีๆ อาแป๊ะเพื่อนบ้านซาวนด์มาเหมารวมสุดๆเพราะโดนบริษัทภาษีทิ้ง
พลิกชีวิตเมื่อพักไปจิบชาดำแบบไม่ได้ตั้งใจ:
- เปิดเทปเก่าสมัยทันสมัยลูกทุ่ง – หาเทปภาษาอังกฤษยุคคุณยาย (แบบที่ฝรั่งพูดช้าคำช้าๆ)มาเปิดตอนขายของ ซ้ำไปซ้ำมาราวสิบยี่สิบรอบ
- จับแมวมาเล่าเรื่อง – อ่านการ์ตูนง่ายๆให้แมวดำฟังตอนสามทุ่ม แมวหลับแล้วก็ยังอ่านต่อไป ปากเบี้ยวเพราะพยายามออกเสียง Thursday ให้ถูกต้อง
- ฉีกป้ายในห้องทิ้งครึ่งนึง – เหลือไว้แค่พวกคำถามพื้นฐาน What/Where/How ตอนเช้าก่อนลุกจากเตียงตาจะต้องเห็นป้ายเหล่านี้ก่อนเป็นอย่างแรก
ความบังเอิญที่ปาฏิหาริย์
พอผ่านไปเดือนครึ่ง วันนึงนั่งดูข่าวช่องไทยพีบีเอส สมองเริ่มร้องเฮ้ยมันคือประโยคที่เคยเห็นในสมุดเก่า! พออาแป๊ะซาวนด์มาชวนคุยก็เผลอตอบไปเลยว่า “The rain is coming soon!” ทันใดนั้นก็สติแตกเพราะรู้ตัวว่าไม่ได้นึกถึงกฎแกรมม่าเลยแม้แต่วินาทีเดียว
แต่ที่น่าประหลาดคือเรื่องนี้มีภาคต่อ ตอนนี้พึ่งจำได้ว่าเหตุกาณ์จริงๆมันเกิดตอนสงกรานต์ปีที่แล้วที่ออฟฟิศเก่า นายจ้างให้ทำโปรเจ็คลูกค้าฝรั่งด่วนทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้เรียนแกรมมาร์แบบจริงจังเลย ก็บอกเค้าตรงไปว่าทำไม่ได้ พอบ่ายสามโมงก็มีเฮดฮันเตอร์จากบริษัทในยามาเสะโทรมาบอกว่าเค้าเปิดตำแหน่งใหม่และมีปัญหาเดิมๆกับโปรเจ็ครีไรท์ขี้น
เขาบอกว่าพวกไอทีบริษัทนั้นไม่สนใจกฎพื้นฐาน เคยให้พนักงานแก้โค้ดด่วนแต่ลืมใส่ if/else จนทำให้ระบบเสียหายยับเยิน ทำให้ประท้วงไม่จบสิ้น
แต่พลิกลับมาที่บ้านเรา ตอนนี้ไม่ต้องแอบขยาดเวลาอาแป๊ะซาวนด์ถามทางอีกต่อไป แม้จะรู้ตัวว่ายังคงทำ Past Perfect ไม่ถูกเสมอไปก็เถอะ เหมือนขับรถเป็นแต่เปลี่ยนเกียร์ไม่คล่องยังไงยังงั้น

ในที่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เกิดสิ่งที่คาดไม่ถึง ตอนเลิกงานยืนรอรถเมล์อยู่ดีๆ บังเอิญมีนักท่องเที่ยวชาวญ�อปหลงมาถามทาง บอกว่าหาตึกไหนสักแห่งใกล้ๆเดอะมอลล์บางแค ด้วยความเคยชินก็เผลอปากอธิบายไปเป็นภาษาอังกฤษโดยที่ใจไม่ทันได้เตือนเรื่องกฎ S+V แม้แต่น้อย
ชีวิตพลิกผันตั้งแต่เปิดสมุดเก่า ๆ:
- เสียงเพลงปลุกสมอง – ปัจจุบันเปิดเพลงปั๊บที่ฟังก็รู้สึกเวิร์คเวลาฟัง Ed Sheeran หรือ Taylor Swift
- การพูดจากลายมือสู่เสียง – ตอนนี้เวลาคุยกับชาวต่างชาติก็สามารถแสดงออกมาได้โดยที่หัวใจไม่เต้นรัวๆแบบเมื่อก่อนแล้ว