ทำไมเราถึงมาบ่นเรื่องนี้
เพราะตัวเราเองนี่แหละที่เคยคิดว่าไม่สำคัญ อายุก่อนมัธยมปลาย เราดันรู้อะไรไปหมดแล้ว พูดไปแล้วมันดูขยะแขยงดี ประมาณว่าเราถือดีน่ะ บวกกับตอนนั้นกำลังสนใจแต่เกมและความเท่แบบเด็กๆ เลยไม่ค่อยสนใจภาษาเท่าที่ควร ไอ้การเรียนภาษาอังกฤษมัธยมต้นเนี่ย เราทำแบบผ่านๆ เสร็จๆ ไป ไม่ได้เข้าใจจริงๆ ไม่ได้เก็บพื้นฐานจริงๆ
คิดว่าเรียนไปแค่นี้ก่อน พอไปมัธยมปลายค่อยมาใส่ใจใหม่ได้ มันก็แค่ภาษาอังกฤษพื้นฐานจะตายร้ายอะไรน่า คิดแค่นี้แหละ บอกเลย ความผิดพลาดอันดับหนึ่งของชีวิตเรา
เจอของจริงในมัธยมปลาย มันแหกตาดีแท้
พอขึ้นมัธยมปลายนี่แหละ มันเปิดตาเลย ช่วงแรกๆ นี่ยังเอาตัวรอดได้ เพราะเนื้อหายังไม่ค่อยยาก แต่พักเดียว มันเริ่มล้อไม่ขึ้นแล้วละ ยิ่งภาษาอังกฤษสายวิทย์เนี่ย เขาใช้คำศัพท์เฉพาะเยอะเป็นเทน้ำเทท่า แถมอ่านบทความวิชาการก็ยากขึ้นด้วย

- คำศัพท์พื้นฐานไม่แน่น: จำศัพท์ง่ายๆ ป.6, ม.ต้น ยังกระเดียดไปเลย เพราะไม่เคยทวน ไม่เคยใช้จริง พอเจอศัพท์ยากๆ ในบทความอะจึ๊กตึ๊ก ตาลายไปหมด
- แกรมม่าล่องหน: ประโยคที่ใช้พูดกันแบบบ้านๆ ทำได้ แต่อ่านบทความยาวๆ หรือดูโครงสร้างประโยคซับซ้อนแล้วไม่รู้เรื่อง พอครูถามว่าประธานอยู่ไหน กริยาไหน ข้อยกเว้นอะไรก็ตอบไม่ได้ ตัวการสำคัญที่เคยละเลยในม.ต้นนี่เอง!
- ฟัง – พูดกากมาก: เพราะไม่เคยฝึกจริงจัง พอต้องฟังครูต่างชาติสอนวิชาอื่น หรือต้องตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษเนี่ย อ้าปากก็ไม่รู้จะพูดไรก่อน คิดเป็นภาษาไทยก่อนแล้วค่อยแปล กลายเป็นกระต่ายตื่นตูมตลอด ห่วย!
สรุปคือ เหมือนตีนถีบหน้าเก่า สมน้ำหน้าเราจริงๆ คิดอะไรตอนนั้นก็ไม่รู้ ทำไมดันเชื่อว่ามันไม่สำคัญอ้ะ!
ขั้นตอนลงมือสู้หลังจมน้ำ
พอรู้ตัวว่าตกซะแล้ว ก็ต้องลุกมาสู้ พอหลังๆ พานั่งตั้งปณิธานกับตัวเอง พร้อมลงมือทันที เริ่มที่การหาโรงเรียนกวดวิชามาเติมจุดอ่อนของเราแบบเข้มข้น
- เริ่มจากแกรมม่าม.ต้นใหม่หมด: นี่คือบ่อเกิดปัญหา เราเปิดตำรา ม.1 แกรมม่ากลับมาอ่านใหม่ ทีละหัวข้อ อย่างตั้งใจ ไม่อ่านผ่านๆ แล้วคราวนี้ ยึดหลักว่า “งงให้ถามทันที” ไม่เคยยอมปล่อยผ่านอีก แม้แต่เรื่องเล็กน้อย
- คันปากพูดกะเขาบ้าง: เคยเก็บตัวเงียบ ไม่กล้าอ้าปาก ตอนนี้เราจับคู่กับเพื่อนที่บวกกันได้ แล้วก็เริ่มหัดฝึกพูดกันทุกวัน ไม่ต้องกลัวผิด ผิดก็แก้ เริ่มจากเรื่องใกล้ตัว ตอนกินข้าว ระหว่างเดิน ใช้คำง่ายๆ ก่อน ที่สำคัญคือพยายามไม่คิดไทยก่อนทุกครั้ง
- คำศัพท์ปึกใหญ่ไว้ใจกัน: ฟีลลิ่งมันดีมาก พกสมุดเล่มเล็กๆ ติดตัวตลอด เวลาเจอคำใหม่ไม่ว่าจะที่ไหน เรียนวิชาอะไร หรือแม้แต่ในเกม เราก็จดเก็บไว้ทันที ตอนเย็นกลับมานั่งย้ำทวน หาความหมาย บางทีวาดรูปประกอบมันไปด้วยให้จำง่าย
- ฟังทั้งวันทั้งคืน: อันนี้เราเกลียดมากแต่ต้องทำ! เปิดเพลงฝรั่งฟังเยอะๆ เริ่มจากดูซีรีส์เด็กๆ พูดช้าๆ ก่อน แล้วค่อยขยับไปดูพวกสารคดี เปิดซับไทยไปด้วยตอนเริ่มต้น พอมั่นใจแล้วก็ปิดซับไปเลย มันก็ติดหนับๆ งงๆ บ้าง แต่ฟังไปนานก็คุ้นหู
ขั้นตอนนี้ง่ายที่สุดและยากที่สุดพร้อมกัน คือทำแล้วต้องทำทุกวัน ไม่มีข้อแม้!
ผลลัพธ์ที่ได้มันคือได้เปรียบแบบเทียบกันไม่ติด
มันต้องใช้เวลานะ ไม่ใช่สัปดาห์เดียวมันจะเลิศอะไร แต่พอผ่านไปซักปีนี่คือค่าครูที่จ่ายไปมันคุ้มค่า
- พอพื้นฐานแกรมม่าแน่น พอไปเจอเนื้อหาม.ปลาย มันต่อยอดได้เร็วขึ้น เรียนก็เข้าใจง่ายขึ้น
- การอ่านบทความวิชาการ คะแนนสอบพวกวิชาวิทย์เนี่ยมันดีขึ้นเห็นๆ เพราะเราไม่เสียเวลาตีความผิด
- ฟังเพื่อนฝรั่งในโรงเรียนอินเตอร์หรือครูต่างชาติมันเข้าใจแล้วยิ้มได้อัตโนมัติ
- เวลาเดินทางไปนอกนี่ก็ไม่กลัวตีนแล้ว เพราะพื้นฐานมันแน่น สื่อสารได้คล่องกว่าแต่ก่อนแยะ!
ที่ใหญ่สุด มันทำให้เราสนุกกับการเรียนมากขึ้น เพราะเวลาไหนเราเตรียมพร้อมแล้ว มันมั่นใจกว่าเรียนแล้วตามไม่ทันคนอื่นชิบเป๋ง!
เพราะตอนนี้เราเห็นแล้วไง อังกฤษมัธยมต้นมันสำคัญตรงที่มันเป็นรากฐานให้เราสร้างต่อไปได้ง่ายๆ ถ้าไม่อยากต้องมาเริ่มใหม่แบบเรา ทนทุกข์ทรมาน หรือทำให้ม.ปลายเราลำบากกว่าเดิม ช่วงเวลาในมัธยมต้นเนี่ย อย่ามัวแต่มองว่ามันง่ายแล้วเมินเฉย เพราะเวลาในมัธยมปลายเขาไปไวและเข้มข้นมาก เราไม่มีเวลามาเริ่มไส้ให้มันใหม่หรอก ถ้าเห็นเด็กม.ต้นเดินผ่านนี่เราอยากเข้าไปสั่งทุกคนว่า “เอาให้หนะ พูดให้เยอะ อ่านให้บ่อย จดให้ครบ!” เพราะประสบการณ์เลือดก้อนไหม่ๆ ของพี่มันสอนว่า พื้นฐานดีมันดีที่สุด!