เมื่อก่อนกูก็คิดว่าภาษาอังกฤษนี่เรียนที่ไหนก็เหมือนกันแหละ เลยไปสมัครคอร์สแพงๆแบบเหมาครึ่งปี คราวนี้พังหมด!
ขั้นแรกลองหาที่เรียนแบบเน้นแกรมม่า
เดินเข้าร้านสอนภาษาชื่อดังในห้างฯ พนักงานตบบัตรลดราคาใส่หน้าแล้วก็อัดคอร์สเรียนปีละสามหมื่น ครูสอนก็ใช่เลย ถึกทนโคตร เน้นยัดตำราแกรมม่าหนาเตอะ พอให้ลองพูดก็มีแต่บทสนทนาจากหนังสือ “How are you?” แล้วก็จบที่ “I’m fine thank you” เรียนไปสองอาทิตย์ทนไม่ไหว เพราะชีวิตจริงกูไม่ได้ใช้ถามหมาตายซากแบบนี้!
ฉุดตัวเองออกมาเรียนแบบเน้นพูดจริง
รวบรวมสตางค์อีกทีคราวนี้ตั้งสติแล้ว หาที่เรียนที่ เรียนเสร็จต้องพูดได้ไม่ใช่ท่องได้ จนเจอครูต่างชาติคนนึงที่โพสต์ในกลุ่มฟรี หลักสูตรเค้าสอนคือ:

- ไม่ต้องเปิดหนังสือหน้าห้องเรียน – ยืนขึ้นมาคุยทันที
- ไม่ใช้หัวข้อน้ำเน่าในตำรา – ให้เราเล่าเรื่องประจำวัน เช่นร้านข้าวแกงแถวบ้าน
- ลิสต์คำถามล่อตับมาเลย: “หิวมั้ย” ถามยังไง “ชานมเยนไหงหวานกว่าเก่า?” บอกยังไง
เคล็ดลับที่ได้มาแบบไม่ได้นัดหมาย
พอครูเค้าให้พูดแบบไม่ต้องกลัวผิด บางทีก็มีมุกเด็ดขึ้นสมองแบบไม่ทันตั้งตัว:
- ตอนไปซื้อของร้านสะดวกซื้อนึกไม่ออกว่า “ปลากระป๋อง” เรียกไง ก็ชี้แล้วตะโกนว่า “Fish! Metal box! Inside!” แคชเชียร์หัวเราะก๊ากแล้วสอนคำว่า “canned fish” ให้
- เจอฝรั่งหลงทางถามทางถึงแยกราชประสงค์ อ้ำอึ้งอยู่ห้านาที ก่อนจะได้ใจ ชักมือถือขึ้นร่ายมนต์ “Ratchaprasong! Taxi! Go! Go!” พร้อมกับทำท่าปาดคอห่านถ้าคนขับรถไม่รู้ทาง
ที่สำคัญ: อย่าเอาแต่เรียนอย่างเดียว ปกติเสาร์อาทิตย์กูจะแอบไปนั่งฟังฝรั่งเที่ยวที่วัดพระแก้ว ตั้งแต่จับได้ว่าพี่แก่งกางแผนที่ก็กวนทันที – “Sir, map upside down! That way!” ชี้นิ้วไปทางแม่น้ำโดยไม่ต้องอาย จนเดี๋ยวนี้บางทีฝรั่งก็พากันเดินสวนทาง 555+
สรุปว่าการเรียนเอาตัวรอดคือ เรียนที่เน้น ตะลุยพูดแบบกากๆ ได้เลย โดยไม่ต้องรอให้คล่องก่อน เรียนเสร็จต้อง ต่อด้วยการชวนคนแปลกหน้าคุยแบบไม่ได้นัดหมาย รับรองอายแตกหักสิบครั้งก็พูดได้เก่งขึ้น!